คุณรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรอยู่ในอาหาร? หากคุณเป็นเหมือนผู้บริโภคส่วนใหญ่ ก็คงต้องดูที่ข้อมูลด้านหลังบรรจุภัณฑ์อาหารของคุณ เพื่ออ่านส่วนผสมและคุณค่าทางโภชนาการ แต่คุณจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง? ข้อมูลนั้นมาจากไหน? ดังนั้นต้องมีสักคนที่เป็นอย่าง Jonathan Griffin นักวิเคราะห์สาธารณะและหัวหน้าผู้จัดการฝ่ายบริการวิเคราะห์ที่ Kent Scientific Services ในสหราชอาณาจักรที่จะช่วยตอบคำถามเหล่านั้นได้
ในการสัมภาษณ์ล่าสุดกับ FOOD-Lab International Technical กริฟฟินพูดถึงวิธีที่ห้องปฏิบัติการใช้เพื่อระบุข้อมูลทางโภชนาการและป้องกันการปนเปื้อนในอาหาร
เมื่อพูดถึงบริการวิเคราะห์สาธารณะในสหราชอาณาจักร จุดเริ่มต้นนั่นเกิดขึ้นในปี 1860 เมื่อกฎหมายฉบับแรกที่ป้องกันการเจือปนอาหารมีผลบังคับใช้ ในเวลานี้ ซัพพลายเออร์จะไม่สามารถเติมสิ่งต่างๆที่นอกเหนือการควบคุมได้ เช่น การเติมปูนปลาสเตอร์ลงในขนมปังเพื่อให้ขนมปังขาวขึ้น (ยืดหยุ่นขึ้น) หรือการใส่บอแรกซ์ในนมเพื่อตัดรสเปรี้ยวเมื่อนมเริ่มบูดแล้ว การเจือปนของอาหารนั่นก่อให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย โดยเฉพาะเด็ก เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ผู้กระทำความผิดก็จะถูกเปิดเผยชื่อและความน่าอับอายเหล่านี้ในนิตยสารสาธารณะเพื่อแจ้งให้ผู้คนทราบถึงอันตราย และทราบว่าใครบ้างที่คุณควรหลีกเลี่ยง เมื่อกฎหมายเพิ่มขึ้น ความต้องการห้องปฏิบัติการก็เช่นกัน ในปี 1950 Association of Public Analysts และเครือข่ายห้องปฏิบัติการของทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ถูกสร้างขึ้นเพื่อวิเคราะห์ตัวอย่างที่ส่งมาจากหน่วยงานท้องถิ่นสำหรับความปลอดภัยและการบริโภคด้านอาหารการเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภค
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนห้องปฏิบัติการที่ดำเนินการโดยสมาคมนักวิเคราะห์สาธารณะกลับมีจำนวนลดลง ซึ่งแต่ก่อนห้องปฏิบัติการเหล่านี้มีมากถึงสามสิบแห่ง ตอนนี้เหลือเพียงเก้าแห่งทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ด้วยจำนวนห้องปฏิบัติการที่น้อยลง นักวิทยาศาสตร์จึงถูกคาดหวังให้ทำงานมากขึ้น เร็วขึ้น ด้วยจำนวนคนที่น้อยลง ซึ่งพบว่าห้องปฏิบัติการของ Kent Scientific Services ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างประมาณ 10,000 ตัวอย่างต่อปี ทั้งสำหรับงานภาครัฐและสำหรับเอกชน ในอดีต ห้องปฏิบัติการควบคุมจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในภาคเอกชน แต่ปัจจุบันนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าการทดสอบตัวอย่างสำหรับบริษัทต่างๆ ก่อนออกสู่ตลาดจะทำให้ประชาชนจะได้รับการคุ้มครองจากสารอันตรายหรือสารเจือปนได้ดีขึ้น ด้วยความสามารถในการทดสอบตัวอย่างบนอุปกรณ์เดียวกันและด้วยมาตรฐานระดับสูงเช่นเดียวกับตัวอย่างที่ผ่านการควบคุม ทำให้ Kent Scientific Services จึงสามารถวางตำแหน่งตัวเองได้ดีในตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้
และส่วนหนึ่งของความสำเร็จ กริฟฟินได้มอบความสำคัญให้กับผลิตภัณฑ์ของ LECO ในห้องทดลองของเขา 20-25% ของตัวอย่างที่วิเคราะห์ผ่านเครื่องมือของพวกเขาถูกใช้เพื่อทดสอบหาความชื้น ซึ่งเป็นการทดสอบที่ตรงไปตรงมาและมีความสำคัญมาก ซึ่งสำคัญต่อการพิจารณาความถูกต้องทางโภชนาการของตัวอย่าง เมื่อพูดถึงการทดสอบความชื้น พวกเขาใช้ LECO TGM800 สำหรับการวิเคราะห์อัตโนมัติเท่านั้น หากจำเป็นต้องตรวจสอบผลการทดสอบซ้ำ พวกเขาจะทำการทดสอบด้วยตนเองด้วยวิธีการดั้งเดิมและช้าเพื่อเปรียบเทียบ นอกจากนี้พวกเขายังใช้ LECO TruSpec และเครื่องวิเคราะห์โปรตีน FP828 ล่าสุดซึ่งใช้วิธี Dumas เครื่องมือ LECO ทั้งหมดช่วยยืนหยัดต่อความเข้มงวดของกระบวนการทางกฎหมาย โดยสนับสนุนการรับรองเพื่อการดำเนินงานในฐานะห้องปฏิบัติการควบคุมอย่างเป็นทางการ พวกเขาซื้ออุปกรณ์เครื่องแรกจาก LECO เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วและยังคงพอใจกับบริการและความแม่นยำที่ LECO เรามีให้มาโดยตลอด
เกือบ 5-10% ของตัวอย่างทั้งหมดที่ทดสอบในห้องปฏิบัติการของ Kent Scientific Services พบว่ามีการปลอมปนบางรูปแบบ ที่ค่อนข้างสอดคล้องกันทั่วทั้งหมด เมื่อราคาส่วนผสมและส่วนประกอบสูงขึ้น วิธีหนึ่งที่ซัพพลายเออร์พยายามประหยัดเงินและลดต้นทุนคือการลดหรือเจือปนผลิตภัณฑ์ Kent Scientific Services ใช้เครื่องมือ LECO เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าอะไรกันแน่ที่อยู่ในอาหารของพวกเขา
อ่านบทความฉบับเต็มได้ใน eFood-Lab International ฉบับเดือนสิงหาคม 2565 ที่นี่